31 มกราคม 2554

อ่านหนังสือให้เวิร์ค มาจัดตารางเวลากัน !!

1. เลือกเวลาที่เหมาะสม
เวลาที่เหมาะสมหมายถึง เวลาที่เราอยากจะอ่านหนังสือ หรือว่างจากงานอื่น หรือเป็นเวลาที่อ่านแล้วได้เนื้อหามากที่สุด เข้าใจมากที่สุด ซึ่งเวลาของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้า บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคน ต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง และควรจัดเวลาอ่านหนังสือให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง

2. วางลำดับวิชาและเนื้อหา
ขั้นตอนต่อมา คือ เลือกวิชาที่จะอ่าน มีหลักง่ายๆ คือ เอาวิชาที่ชอบก่อน เพื่อให้เราอ่านได้เยอะๆ และอ่านได้เร็ว ควรเลือกเรื่องที่ชอบอ่านก่อนเป็นอันดับแรก จะได้มีกำลังใจอ่านเนื้อหาอื่นต่อไป ไม่แนะนำวิชาที่ยาก และเนื้อหาที่ไม่ชอบ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า การอ่านหนังสือควรอ่านให้ได้ตามที่เราวางแผนเอาไว้ วิธีการก็คือ List รายการหรือเนื้อหา บทที่จะอ่านให้หมด จากนั้นค่อยเลือกลำดับเนื้อหาว่าจะอ่านเรื่องใดก่อนหลัง แล้วค่อยลงมืออ่าน

3. ลงมือทำ
ข้อนี้สำคัญมาก คือ ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง และต้องจริงจัง

4. ตรวจสอบผลงาน
ผลของการอ่าน ดูได้จากว่า ทำข้อสอบได้หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบได้ ก็แสดงว่าอ่านรู้เรื่อง อ่านเข้าใจ ได้เนื้อหาจริงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ต้องกลับไปทบทวนใหม่ เมื่ออ่านแล้วก็ต้องจดบันทึกไว้ด้วย เพราะจะได้รู้ว่า อ่านไปถึงไหนแล้ว และได้เนื้อหาอะไรบ้าง การจดบันทึก ก็คือการทำโน้ตย่อนั่นเอง แล้วทำสรุปไว้เลยว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้าง เก็บไว้ให้มากที่สุด จะได้เป็นผลงานของตัวเอง จะได้เก็บไว้อ่านเมื่อต้องการ หรืออ่านตอนใกล้สอบ


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/16988/อ่านหนังสือให้เวิร์ค-มาจัดตารางเวลากัน-.php#ixzz1CcfvPQQU

ตัวย่อภาษาอังกฤษน่ารู้

แต่นอกจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่พี่แนนต้องฝึกท่องตั้งแต่ Ant แอ๊น มด Cat แคท แมว แล้ว (ประถมไหนเนี่ย พี่แนน...) พี่แนนก็ไปเจอตัวย่อภาษาอังกฤษมาด้วยค่ะ บางคำก็เคยเห็นอยู่ประจำ แต่ไม่รู้ความหมายเต็มๆ ซึ่งตัวย่อพวกนี้ ก็เป็นคำที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ใช้กับทางการเท่าไหร่นะคะ เอาไว้คุยเล่นกับเพื่อนขำๆ มากกว่า มีคำว่าอะไรบ้าง ลองไปดูกันเลย เลทสะโก้ๆๆๆๆ (พี่แนน...เค้าเขียนว่า Let's go)

A


ASAP = As soon as possible = เร็วสุดเท่าที่เร็วได้
ATM = At the moment = ในตอนนี้ (ไม่ใช่ตู้ ATM นะ แต่ย่อเหมือนกัน)

B

BC = Because = เพราะว่า
BG = Big grin = (ยิ้มอยู่)
BOTOH = But on the other hand = แต่ในทางกลับกัน
BTDT = Bee n there, done that = ไปมาแล้วทำเรียบร้อยแล้ว
BTW = By the way = อย่างไรก็ตาม

C

COZ = Because = เพราะว่า
CU = See you = แล้วเจอกัน
CUL or CUL8R = See you later = แล้วเจอกัน

E

EZ = Easy = ง่าย

F

FAQ = Frequently asked questions = คำถามที่ถามบ่อย
FYI = For your information = แจ้งเพื่อรับทราบ

G

GJ = Good job = ทำได้ดีมาก!
GL = Good luck = โชคดีนะ
GRT = Great = เยี่ยม!
GW = Good work = ทำได้ดีมาก

H

HAND = Have a nice day = โชคดีนะ

I

IC = I see = เข้าใจล่ะ

IMO = In my opinion ฉันคิดว่า...
IMPOV = In my point of view = ฉันคิดว่า....
IOW = In other words = ถ้าจะพูดอีกอย่างก็..
IRL = In real life = ในชีวิตจริง

J

JIC = Just in case = เผื่อไว้
JTLYK = Just to let you know = แค่บอกให้รู้ไว้

K

KIS = Keep it simple = เอาง่ายๆ
KIT = Keep in touch = ติดต่อกันอีกนะ

L

LOL= Laughing out loud = หัวเราะ 555+

N

NBD = No big deal = ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อย
NP = No problem = ไม่มีปัญหา
NVM = Never mind = ไม่เป็นไร

O

OMG = Oh my god = โอ้ พระเจ้า

P

PCM = Please call me = โทรมาหาที
PLS = Please = ได้โปรด
PLZ = Please = ได้โปรด

Q

Q = Question = คำถาม

S

SIT = Stay in touch = แล้วติดต่อกันใหม่
SOZ, SRY = Sorry = ขอโทษที
SYS = See you soon = แล้วพบกันใหม่

T

THX = Thanks = ขอบใจจ้า
TIA = Thanks in advance = ขอบคุณล่วงหน้า
TY = Thank you = ขอบคุณ

U

U = You = คุณ

W


WB = Welcome back = ขอต้อนรับกลับมา
WFM = Works for me = สำหรับฉันแล้วได้ผลนะ

X

XOXO = Hugs and kisses = รักนะจุ๊บๆ

Y

Y = Why = ทำไมหละ
YW = You are welcome ด้วยความยินดี



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/17548/ตัวย่อภาษาอังกฤษน่ารู้-ดู-ดู๊-ดู....php#ixzz1CcemCcPW

อ่านหนังสือหนัก เพลียและล้า มีวิธีแก้จ้า


1.แก้ร่างกายเมื่อยขบ เปลี้ยล้า

ใช้การบริหารร่างกาย หรือวิธีโยคะเข้าช่วย เช่น บิดตัวไปทางซ้าย หมุนกลับมาทางขวาช้า ๆ เมื่อยคอให้เงยหน้าช้า ๆ ขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดทั่วใบหน้าและลำคอแรง ๆ แล้ว นวดบางจุดเบา ๆ หรือใช้น้ำลูบหน้าหากอยู่ที่บ้านอาจใช้วิธีดัดตน เช่น นั่งคุกเข่าข้างฝาห้อง หันหน้าออกก้มหัวยันพื้นใช้เท้าไต่ขึ้นบนฝาผนังห้อง จนตัวตั้งตรง ปล่อยเท้าทีละข้างให้เอนไปข้างหน้าช้า ๆ สลับไปมาเลือดจะเข้าสมองมากขึ้น ออกซิเจน จะไปเลี้ยงเซลล์ประสาท เพิ่มขึ้นช่วยแก้ความเปลี้ยล้าได้มาก

2.แก้ความง่วง เบื่อ ไม่อยากอ่าน

ใช้การหายใจช่วย ครั้งแรงพ่นอากาศออกจากปอดผ่านจมูกให้แรงที่สุด จนหมดสิ้นห่อปากให้เป็นรูเล็ก ๆ แล้วพ่นอากาศเสียที่หลงเหลืออยู่ออกไปจนหมด ค่อย ๆ สูดอากาศดีผ่านจมูกเข้าปอดช้า ๆ อาจนับ 1 ถึง 15 ช้า ๆ ให้อากาศอัดแน่น เต็มปอดจนสุดจะหายใจเข้าได้อีก แล้วหายใจออกช้า ๆ เหมือนข้างต้น ทำดังกล่าว 2-3 ครั้ง จะแก้ความง่วง เบื่อการอ่านลงไปได้ (แนะนำว่าถ้าง่วงมากๆ ก็อย่าฝืนนะคะ เพราะหากเรารู้สึกทึบ ๆ หรือไม่สบายในวันสอบก็ทำข้อสอบไม่ได้ดีหรอกค่ะ ให้ฟุบลงซักพัก หรือนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีนะคะ)

3.แก้ความเปลี้ยของการใช้สายตา

เมื่อใช้สายตานานควรพักเสียบ้าง ให้มองสิ่งที่อยู่ไกลโล่ง ๆ ดูยอดไม้เขียว ๆ มองภาพหรือทิวทัศน์ (ทัศนียภาพ) ที่ห่างออกไปมาก ๆ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ให้มองท้องฟ้า ดูดาวอันระยิบระยับ กล้ามเนื้อตาจะค่อย ๆ คลายตัว ถ้าอยู่ในห้องใช้การมองผนังห้องติดรูปภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ จะช่วยได้มาก หรือดูทิวทัศน์จากหน้าต่าง มองให้ไกลออกไปให้เต็มที่ (เต็มตา) แล้วหลับตา ทำจิตให้สงบสร้างสมาธิด้วยการหายใจเข้าออกช้า ๆ หายใจเข้าให้เต็ม (ปอด) หายใจออกให้หมด จะช่วยแก้ความเปลี้ยและอาการปวดตาลงได้

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/17915/อ่านหนังสือหนัก-เพลียและล้า-มีวิธีแก้จ้า.php#ixzz1Ccd6FnDj

10 เคล็ดลับพิชิตสูตรคำนวณ

1. ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดทีวี เพลง หรือสิ่งเร้าที่เราคิดว่า เราอ่านหนังสือนานไม่ได้แน่ๆ ไม่มีสมาธิแน่ๆ ให้ปิดไปเลย หรือนำมันไปไกลๆเลย

2. ห้ามนั่งอ่านหนังสือ หรือนอนอ่านหนังสือบนเตียงเด็ดขาดดดด!! เพราะรับรองได้เลยว่า คุณอ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง หนังตาของเราอาจจะเริ่มปิดก็เป็นได้

3. เตรียมหนังสือพวกที่เป็นตะลุยโจทย์ ,หนังสือเรียน ,หนังสือคู่มือที่มีเนื้อหาบทเรียน ,หนังสือสรุปสูตรในแต่ละบท

4. ขอสมุดคู่ใจ ที่เราคิดว่าชอบเล่มนี้ อยากเขียนลงไป อยากพกติดตัว จะมีเส้นหรือไม่มีเส้นก็ได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลย

5. เตรียมปากกาสี,ปากกาเน้น ไว้ข้างๆ กายเลย เพื่อช่วยในการจดจำ น่าอ่านอีกด้วย

6. เมื่อเตรียมอุปกรณ์ ครบพร้อมหมดแล้ว ขอให้คุณหลับตานั่งนิ่งๆ สัก 3-5 นาที หรือจะเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ หรือเพลงโมสาร์ท หลับตานั่งฟังสัก 1 เพลงจบก็ได้

7. เปิดหนังสือเรียน หรือหนังสือคู่มือ ที่มีเนื้อหาของบทเรียนที่เราจะอ่าน แล้วเริ่มจดสูตร หรือข้อความสรุป ข้อความสำคัญเขียนแบบสั้นๆ และสรุปอย่างได้ใจความ ลงไปในสมุดเล่มโปรด แล้วสามารถนำปากกาสีมาเขียนมิกส์กันให้น่าอ่านได้ด้วย ข้อความไหนสำคัญก็ให้ใช้ปากกาเน้นไว้เลยย

สำหรับบางคนที่ไม่ชอบอ่านแล้วต้องมานั่งสรุปในสมุด ก็สามารถใช้ปากกาสีขีดใต้ข้อความสำคัญ หรือใช้ปากกาเน้นข้อความลงไปในหนังสือคู่มือหรือหนังสือเรียนเลยก็ได้

8.เมื่อได้เนื้อหาสาระสำคัญๆ รวมถึงสูตรต่างๆแล้ว ก็ขอให้ลองนั่งท่องจำสักพักนึง จนคิดว่าน่าจะจำได้แล้ว และลองปิดหนังสือ ปิดสมุด เขียนสูตรที่เราจำได้,ข้อความหรือทฤษฎีที่เราท่องไว้นั้น มาเขียนในเศษกระดาษดูหลังจากนั้นตรวจทานและเช็คดูในหนังสือว่า ตรงกันกับที่เราเขียนไหม สูตรครบหรือเปล่า ทฤษฎีแม่นจริงไหม

9. เมื่อเราจำสูตร ทฤษฎี ข้อความที่เราสรุปได้แล้ว ก็นำหนังสือตะลุยโจทย์มานั่งทำโจทย์ไปเลย หากลืมสูตรก็เปิดดูสูตรนั้นอีกครั้ง และทำโจทย์ที่ใช้สูตรนั้นหลายๆ ข้อ มันจะทำให้เราสามารถจำสูตรได้เองอัตโนมัติ บางทีโจทย์แต่ละข้อนั้น ก็จะมีการพลิกแพลงสูตรด้วย เพราะฉะนั้นต้องฝึกทำโจทย์หลายๆ แนว หลายๆ ข้อ ย้ำ!! สูตรและทฤษฎีต้องจำและแม่นจริงๆด้วยนะ

10. เมื่อตะลุยฝึกโจทย์ไปแล้วจนเราเริ่มจำสูตรได้จริงๆ เริ่มรู้แนวโจทย์ของแต่ละบทแต่ละสูตรแล้วขอให้คุณลองเขียนทฤษฎี สูตรทั้งหมด ข้อความที่สำคัญๆ ลงในกระดาษว่างๆ 1 แผ่น เขียนเท่าที่จำได้
"แล้วลองคิดสิว่า ที่เราจำได้เท่านี้ จะดีพอไปสู่การสอบได้แล้วหรือยัง"

หากยัง ขอให้อ่านหนังสือ และตะลุยโจทย์เป็นเรื่องๆ ต่อไป เพราะยังไงถึงแม้เราทำแล้วผลออกมาเราอาจจะสอบตก แต่เราอย่าได้เสียใจ เพราะอย่างน้อยเราได้เต็มที่กับสิ่งที่เราทำไปแล้ว และอย่าท้อแท้ สิ้นหวังได้ง่ายๆ เพราะยังไงคนที่จะประสบความสำเร็จได้ คงไม่พ้นความพยายาม



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/18108/10-เคล็ดลับพิชิตสูตรคำนวณ.php#ixzz1CccV67Xe

3 ช่วงเวลาอ่านหนังสือ ชนะเลิศชัวร์


ช่วงแรก ช่วงก่อนเปิดเทอมหรือช่วงปิดเทอม

เป็นเวลาแห่งการช่วงชิงความรู้ที่ดีที่สุด หยิบหนังสือเรียนออกมาทั้งหมด วางไว้มุมหนึ่งของโต๊ะ เปิดอ่านวันละนิดละหน่อย ทำความเข้าใจ แม้จะงงๆ อยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร แค่ได้อ่านก็พอแล้ว

ช่วงที่สอง ช่วงก่อนไปโรงเรียนหรือช่วงก่อนเวลาเรียน

ลองตื่นเช้ากว่าปกติสักครึ่งชั่วโมงเพื่อมาอ่านบทเรียนที่ต้องเรียนในวันนี้ สักยี่สิบนาทีก็พอ อีกสิบนาทีทำตัวขี้เกียจเพื่อให้สมองได้พักผ่อน(ชอบจัง) แบบว่าอ่านแบบชิวๆ สบายๆ ไม่ต้องเคร่งเครียด หรืออาจจะอ่านก่อนเวลาชั่วโมงเรียน แต่ไม่อยากจะแนะนำสักเท่าไหร่สำหรับคนที่เรียนชั่วโมงต่อชั่วโมง สำหรับคนที่เรียนแบบชั่วโมงนี้เรียน ชั่วโมงนี้ว่าง เหมือนโรงเรียนของต่างประเทศที่เข้าเรียนเป็นวิชาๆ หรือระดับมหาวิทยาลัยใช้ได้ค่ะ แต่อย่าเครียดจนเกินไป แค่อ่านให้รับรู้ว่าเราอ่านมาแล้วก็พอ

ช่วงที่สาม ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน

อันนี้รู้สึกจะไม่ได้จัดอยู่ในหมวดทำความเข้าใจก่อนเข้าเรียน (อิอิ) แต่ถือว่าจำเป็นมากโข เพราะเป็นการทบทวนไม่ให้เราลืมสิ่งที่เพิ่งเรียนไป อ่านแค่พอระลึกชาติก็พอ อย่าเครียดเด็ดขาดเลย


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/18461/3-ช่วงเวลาอ่านหนังสือ-ชนะเลิศชัวร์.php#ixzz1CcbCiV9C

ว้าว "สมการคณิตศาสตร์" บอกรักได้ด้วย..

สำหรับเรื่องเรียนๆ จะไปเกี่ยวกับเรื่องรักๆได้ยังไง พี่แนนก็หามาให้เกี่ยวจนได้ค่ะ อย่างวันนี้ พี่แนนมีวิธีบอกรักแบบแนวๆ แต่เป็นแนววิชาการนิดๆ ค่ะ ด้วยการบอกรักแบบ "คณิตศาสตร์" โห แค่ได้ยินก็ยากแล้ว แต่วิธีนี้เหมาะสำหรับเนียนๆ ค่ะ แบบว่า แอบปิ๊งเด็กเรียน เด็กเนิร์ด ที่เผอิญเข้าตา ก็แบบไปขอให้สอนการบ้านข้อนี้หน่อย ประมาณนี้เลยค่ะ เริ่มสนใจกันแล้วใช่ไหมเอ่ย??

การบอกรักแบบคณิตศาสตร์ คือการบอกรักด้วย "สมการ" ค่ะ ซึ่งมีหลายสมการเลยหล่ะ เอ...แล้วมันจะบอกรักได้ยังไง มาดูตัวอย่างแรกกันคะ

โจทย์ สมการนี้คือ







กราฟนี้หวานสุดๆนะคะ แต่ไม่ได้มีแค่สมการเดียวนะคะ ยังมีอีกหลายแบบให้ชาวเด็กดีนำไปใช้กันด้วย ตามนี้เลยค่ะ


ชาวเด็กดีได้ดูแล้ว นำไปลองใช้กันได้นะคะ แบบว่ายื่นสมการไปให้คนที่เราหมายตาเลย อาจจะใช้เวลานาน ก็เให้เค้าใช้ความพยายามกับเรานะคะ เวลาเค้าเห็นสมการนี้ ก็จะคิดถึงแต่เราตลอดๆ (ฮ่าๆ) หรือถ้าใจร้อน ก็แอบเอาเฉลยไปให้เค้าดูก็ได้ .....เป็นการบอกรักอีกแนว ที่แฝงด้วยความรู้นะคะเนี่ย อิอิ ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะคะ โย่ว !!!

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/19079/ว้าว-สมการคณิตศาสตร์-บอกรักได้ด้วย...php#ixzz1CcZJau6G

ประโยคไหนต้องมีในเฟรนด์ชิพ


แต่นอกจากความซึ้งในบล็อคแล้ว ก็คงต้องมีเฟรนด์ชิพกันใช่ไหมคะ ซึ่งเฟรนด์ชิพเล่มนี้ มีค่าสุดๆ ต้องเก็บไว้ให้ดี เพราะมีทั้งความทรงจำ ความรู้สึกจากเพื่อนๆ ที่เขียนถึงเรา คำอวยพรดีๆ ที่อยู่เพื่อน บางทีก็มีคราบน้ำตาของเพื่อนเราด้วย เพราะในเฟรนด์ชิพเล่มนี้ นอกจากจะเขียนกันอย่างเต็มเหนี่ยวแล้ว บางคนก็ใส่สีสันคัลเลอร์ฟูลเต็มที่ ประดิษฐ์กันสุดๆ บางทีก็เอารูปที่ถ่ายร่วมกันมาติดไว้ บางรูปก็เป็นโอกาสพิเศษ แอบถ่าย พร้อมบรรยายให้เด็ดจนลืมไม่ลงเลยก็มี

ส่วนคำบรรยายความรู้สึกที่มีต่อเพื่อน ก็ต้องมีประโยคยอดฮิตที่ต้องมีในเฟรนด์ชิพ เฟรนด์ชิพของเพื่อนๆ ก็มีเยอะแยะเลยค่ะ บางประโยคก็เป็นคำสั้นๆ แต่ความหมายกินใจ รู้ซึ้งถึงตับไตไส้พุงกันเลย บางประโยคก็แอบฮาทิ้งทวนได้อีก เช่น

- อย่าลืมกันนะ -
- อย่าลืมเพื่อนคนนี้นะ ลืมไปมีเคือง(อันนี้มีขู่แฮะ) -
- เพื่อน...ชั้นรักแกว่ะ -
- เรา...รัก...กัน -
- จะคิดถึงเสมอ -
- Forever friend -
- Forget me not -
- โชคดี... -
- เงินที่ยืมไป...เมื่อไหร่ได้คืน -
- ถ้าแกลืมชั้น...แกเป็นหมันแน่!!! (ใครได้อันนี้ห้ามลืมนะ ฮ่าๆ) -

ประโยคสั้นๆ ที่พี่แนนรวบรวมมา เป็นส่วนเล็กๆ ที่ยังไงก็ต้องเจอในเฟรนด์ชิพค่ะ แต่ก็มีอีกมายที่ความหมายเจ๋งๆ แถมซึ้งอีกเพียบเลยหล่ะค่ะ แต่ทุกประโยคก็มีค่าและมีความหมายสำหรับเพื่อน ๆไม่ต่างกัน เพราะทุกประโยค ทุกตัวอักษร ก็เป็นเหมือนที่ระลึก ให้เราได้นึกถึง ทุกความผูกพันธ์ ทุกความรัก ทุกเหตุการณ์ที่เราได้ทำร่วมกันมาตลอดระยะเวลาของความเป็น "เพื่อน" กัน

"ขอเพียงจริงใจให้กันไว้ เนิ่นนานแค่ไหน
มิตรภาพไม่เปลี่ยนแปลง
น้ำใจเพื่อนไม่เคยแห้งแล้ง
กอดคอกันไว้ เพื่อนกันตลอดไป..."

จากเพลง เพื่อนกัน - รวมศิลปิน RS UNPLUGGED

พี่ครับ ผมไม่ใช่ปลา!!!


สัตว์พวกนี้ถ้าดูในแบบชีววิทยา ก็จะจัดเจ้าพวกนี้อยู่อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) ค่ะ ซึ่งจะมีการจำแนกเป็นไฟลั่มไปอีก โดยใช้ลักษณะสำคัญ คือ จำนวนชั้นของเนื้อเยื่อ ช่องภายในตัว ปล้องขา ลำตัว ชนิดของท่อทางเดินอาหาร สมมาตร (symmetry) ของลำตัว ชนิดของระบบไหลเวียน และการพัฒนาของระบบอื่นๆ ซึ่งมี 10 ไฟลั่มด้วยกัน เมื่อแยกจัดเจ้าพวกนี้อยู่ในไฟลั่มต่างๆแล้ว จะรู้เลยค่ะ ว่าต่างจากปลา เช่น

- วาฬ โลมา 3 ชนิดนี้จะจัดอยู่ในไฟลั่มเดียวกันค่ะ คือ ไฟลัมคอร์ดาตา (Phylum Chordata) ซึ่งบรรพบุรุษเป็นสัตว์บกที่วิวิฒนาการลงน้ำ รูปร่างภายนอกคล้ายปลา ก็เลยโดนเรียกปลาซะหมด

- ดาว จัดอยู่ในไฟลัมอีคิโนเดอร์มาตา (Phylum Echinodermata) เป็นสัตว์ทะเลทั้งหมดค่ะ พอตัวเต็มวัยตัวจะมีขนาดสมมาตรรัศมี ตัดแบ่งครึ่งได้เท่ากันเป๊ะ มีระบบน้ำใช้ในการเคลื่อนที่ มีระบบไหลเวียน ระบบประสาท และระบบท่อทางเดินอาหาร จำแนกเป็นห้าชั้น พวกเดียวกันในไฟลั่มนี้ก็พวก เม่นทะเล ปลิงทะเล

- หมึก จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา (Phylum Mollusca) เป็นจำพวกเดียวกับหอยค่ะ คือมีลำตัวนิ่ม แต่เสียเปรียบสุด หอยยังมีเปลือกแข็งอ่ะ หมึกก็มีนะคะ แต่ดั๊นไปอยู่ข้างใน แค่จับขึ้นมาโดนแดดก็ตายแล้ว..

แต่เราก็เรียกปลา 5 อย่างนี้ว่าปลามาตลอดนะคะ เห็นอยู่ในน้ำ บางตัวก็รูปร่างก็เป็นปลา บางตัวก็เห็นเค้าเรียกกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าได้เรียนวิชาชีววิทยาแล้วละก็ ก็จะได้รู้จักเจ้าพวกนี้มากขึ้น เหมือนเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาตลอด บางครั้งก็ไม่ถูกต้องเสมอไป


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20139/ปลา-ชีววิทยา-ไฟลั่ม.php#ixzz1CcUoVjQE

เรื่องของชั้น.....สำคัญต่อโลก




ชั้นบรรยากาศของโลกเรา ยังแบ่งได้เป็น 5 ชั้นอีกนะคะ คือ

1.โทรโพสเฟียร์ (Troposphere) ระยะความสูงจากพื้นโลกของบรรยากาศชั้นนี้ จะอยู่ที่ 0-15 กิโลเมตรเนหือระดับน้ำทะเลค่ะ เป็นชั้นบรรยากาศล่างสุดเลยหล่ะ สภาพโดยทั่วไปไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันตลอด จะปั่นป่วน วุ่นวายตลอดเวลา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิ ความชื้น ความดัน และอื่น ๆ อยู่ตอลด

2.สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นโทรโพสเฟียร์ขึ้นไปจนถึงความสูง 50 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นชั้นบรรยากาศที่ค่อนข้างคกที่ ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงนัก และยังเป็นชั้นที่มี โอโซนอยู่ด้วย (O3) ซึ่งเจ้าโอโซนนี้ก็จะทำหน้าที่ดูดซึมรังสีอัตราไวโอเลต(UV)จากดวงอาทิตย์ไว้อีกด้วย ว้าวๆ ไม่งั้นพวกเราคงดำกว่านี้แน่เลย

3.เมสโซสเฟียร์ (Mesosphere) ถัดจากชั้นสตราโตสเฟียร์ไปจนถึงความสูง 80-85 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล และยังเป็นชั้นที่ฝนดาวตก (meteors) ส่วนใหญ่เผาไหม้หมดเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกด้วยค่ะ

4.เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) เป็นชั้นที่ถัดจากเมสโซสเฟียร์ไปจนถึงความสูงประมาณ 600 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล (จ๊าก สูงขึ้นไปอีก) เป็นชั้นสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) โคจรรอบโลกอยู่ที่ความสูง 320 – 380 กิโลเมตรค่ะ โอ้ๆ เราได้รู้เรื่องอวกาศมากขึ้น ก็จากสถานีแห่งนี้หล่ะค่ะ

5.เอ็กโซสเฟียร์ (Exosphere) เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกเป็นรอยต่อระหว่างชั้นบรรยากาศของโลกและอวกาศแล้วค่ะ แต่มีขอบเขตแบ่งระหว่างชั้นบรรยากาศและอวกาศที่ไม่ชัดเจน บรรยากาศชั้นนี้ประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นหลัก พี่แนนว่า เราหายใจกันไม่ได้ตั้งแต่บรรยากาศชั้น 2 แล้วหล่ะมั้งนั่น



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20639/เรื่องของชั้น..สำคัญต่อโลก.php#ixzz1CcUBl1Hp

หวานผ่าซาก....ต้องระวัง!!!


พูดถึงความหวาน สิ่งที่สร้างรสชตินี้ขึ้นมา ก็คือ น้ำตาล ค่ะ ซึ่งน้ำตาลเองก็มีอยู่หลายชนิด ทั้งน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลกรวด น้ำตาลก้อน เรียกว่าทั่วบ้านเมืองอยากจะให้อาหารมีรสหวาน ก็ต้องใช้เจ้าน้ำตาลนี่หล่ะ เป็นวัตถุดิบที่มีติดเกือบทุกบ้าน ร้านอาหารก็ต้องมี ใส่เล็กน้อยพอเพิ่มรสชาติ ใส่มากจะกลายเป็นเชื่อม หวานปี๊กันเลยทีเดียว

น้ำตาล ในทางเคมีเป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แบ่งได้อีกค่ะ ตามโครงสร้างโมเลกุล เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (Monosaccharide) เป็นชนิดของน้ำตาลที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด ร่างกายย่อยไม่ได้อีก กินเข้าไปแล้วไม่ต้องผ่านการย่อย มีสูตรทั่วไปคือ CH2O การเรียนชื่อของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจะเรียกตามจำนวนอะตอมของคาร์บอน แล้วลงท้ายด้วย โอ_ส เช่น กลูโคส ฟรักโทส กาแล็กโทส เป็นต้น

2.น้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharide) เกิดจากน้ำตาลโทเลกุลเดี่ยว 2-10 โมเลกุล มารวมตัวกันด้วยพันธะไกลโคซิดิก (glycosidic bond) ซึ่งอาจเป็นชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดกันก็ได้ ได้แก่ ซูโครส ที่รู้จักกันดี ก็คือ น้ำตาลทรายนั่นเองค่ะ แล้วยังพบได้ในอ้อย ตาล มะพร้าว น้ำผึ้ง ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมี มอลโทส แล็กโทส

3.น้ำตาลโมเลกุลซ้อน (Polysaccharide) เป็นการจับตัวกันของโมเลกุลน้ำตาล มากกว่า 2 ตัวขึ้นไป พบมากในแป้งของธัญพืช และเผือกหัวมันต่างๆ ในสัตว์ คือ ไกลโคเจน

โอ้โห เรื่องหวานๆ จริงๆแล้วก็มีที่มาซับซ้อนนะคะ มีแบ่งประเภทได้อีก และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายเรา แต่ถ้ากินมากไปก็เกิดโรคได้ อาทิ โรคอ้วน!!! ต้องกินกันอย่างระมัดระวังนะคะ



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20566/หวานผ่าซาก...ต้องระวัง.php#ixzz1CcTx1xPC

10 ห้องโปรดในโรงเรียน ที่นักเรียนชอบเข้า


1.ห้องดนตรี - ห้องแห่งเสียงเพลงและทำนอง สำหรับคนที่เรียนวิชาดนตรี ในที่นี้มีทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากลนะคะ ห้องดนตรีสากล จะออกแนวบันเทิง เป็นแหล่งฝึกฝนวิชากันไป ส่วนห้องดนตรีไทย ก็ต้องสงบๆ และเคารพกันนิดหนึ่ง

2.ห้องศิลปะ - ห้องนี้สำหรับสร้างสรรค์จินตนาการค่ะ บรรยากาศก็จะอิสระนิดๆ คนที่ชอบวาดนั่นนี่ เข้าห้องนี้แล้วสุขสุดๆ หรือใครเก็บกดอารมณ์อะไรมา แอบมาติสท์แตกในนี้ ก็ถือว่าถูกทางนะคะ

3.ห้องคอมพิวเตอร์ - จะชอบมากเวลาพัก หรือเวลาว่าง เพราะชอบเข้าเน็ตมาดูข่าวสารความเคลื่อนไหว ดูรูป ดูคลิปนักร้องสุดที่รัก หรือเข้ามาหาสังคมออนไลน์คุณภาพอย่าง Dek.D.com เป็นต้น อิอิ

4.ห้องโสตทัศนศึกษา - เรียนสั้นๆว่าห้องโสตฯ สำหรับวิชาที่ต้องดูวิดิโอหรือมีฉายสไลด์ บางครั้งเวลาว่างก็อาจขออาจารย์มาเปิดดูหนังดูอะไรพักผ่อนได้บ้าง ยิ่งถ้ามีชุมนุมโสตฯด้วยละก็ จะเป็นชุมนุมที่คนเต็มไวที่สุดเลยไม่รู้ทำไม (แต่เรารู้กันใช่ไหม อิอิ)

5.ห้องพยาบาล - รู้สึกรุมๆ ตัวร้อนๆ ก็แวะไปห้องนี้สักหน่อย ได้กินยา หรือได้นอนพักในห้องนี้ แต่เห็นหลายคนอยากป่วย หรือทำตัวเหมือนป่วย ไปนอนบ่อยๆนะเนี่ย อิอิ


6.ห้องสมุด - ขึ้นชื่อว่าห้องสมุด ต้องรักษาความสงบเงียบอย่างเคร่งครัด เหมาะนักที่จะไปหาสมาธิ หลบลี้หนีจากผู้คน หรือแอบหลับตรงมุมชั้นวางหนังสือก็ยังได้ !!!

7.ห้องแลป - ห้องปฏิบัติการทางวิชาวิทยาศาสตร์ ดูน่าเรียนกว่าตอนจำสูตร จำสมการตั้งเยอะ

8.ห้องการงาน(ครัว) - โปรดสุดแล้วพี่น้อง ยิ่งห้องไหนมีวิชาการงานที่ต้องทำอาหาร พิฆาตคนทั้งโรงเรียนได้ด้วยกลิ่นอันหอมหวน จนอยากจะมาเกาะขอส่วนบุญ เอ้ยย ส่วนแบ่ง

9.ห้องแนะแนว - ห้องนี้จะได้รับความนิยมสูงสุดจากเด็ก ม.ปลายที่เตรียมแอดมิชชั่น เพราะต้องเข้าไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ในหลายๆเรื่อง บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเรียนซะทีเดียว แต่เป็นเหมือนห้องปรึกษาปัญหาชีวิตของนักเรียนเลยหล่ะ

10.ห้องน้ำ - พลาดได้ยังไงห้องนี้ ประหนึ่งห้องแห่งสวรรค์ ถ้าไม่มี...ชีวิตนี้คงเศร้า พวกเราจะไปปลดทุกข์กันที่ไหน บางทีก็แอบไปตรวจความเรียบร้อยบนใบหน้า ส่องกระจก โบ๊ะแป้งแต่งหล่อ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20724/10-ห้องโปรดในโรงเรียน-ที่นักเรียนชอบเข้า.php#ixzz1CcRocXi7

ยามเมื่อลม "พายุ" พัดหวน


พายุที่เกิดขึ้นมีหลายชนิดค่ะ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และลักษณะของการเกิด แบ่งได้เป็น

พายุหมุนเขตร้อน เป็นคำทั่ว ๆ ไปที่ใช้สำหรับเรียกพายุหมุนหรือพายุไซโคลน (cyclone) ที่มีถิ่นกำเนิดเหนือมหาสมุทรในเขตร้อนแถบละติจูดต่ำ แต่อยู่นอกเขตบริเวณเส้นศูนย์สูตร พายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นได้หลายแห่งในโลก และมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแหล่งกำเนิด บริเวณที่มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นเป็นประจำ ได้แก่

มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก ทางตะวันตกของลองจิจูด 170 ํ ตะวันออก เมื่อมีกำลังแรงสูงสุด เรียกว่า "ไต้ฝุ่น" เกิดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม

มหาสมุทรอินเดีย เรียกว่า "ไซโคลน"

มหาสมุทรอินเดียเหนือ ทะเลอาระเบีย เรียกว่า "ไซโคลน"

มหาสมุทรอินเดียใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย เรียกว่า "วิลลี่วิลลี่"

ความรุนแรงของพายุ จะวัดจากความเร็วลมค่ะ ซึ่งในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก และทะเลจีนใต้มีการแบ่งตามข้อตกลงระหว่างประเทศดังนี้

พายุดีเปรสชั่น ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางไม่ถึง 34 นอต (63 กม./ชม.)

พายุโซนร้อน 34 นอต (63 กม./ชม.) ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 64 นอต (118 กม./ชม.)

พายุไต้ฝุ่น ความเร็วลม 64 นอต (118 กม./ชม.) ขึ้นไป


เฮอริเคน

จะเกิดขึ้นบนมหาสมุทรแปซิฟิค มีหลายชื่อขึ้นกับความเร็วลม ซึ่งก็จะอ่อนกำลังลงตามลำดับเป็น พายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชั่นค่ะ


พายุทอร์นาโด

เป็นพายุหมุนที่มีความรุนแรงที่สุดและอันตรายมากที่สุด ในบรรดาพายุหมุน โดยลมพัดรอบศูนย์กลางอาจมีความเร็วถึง 800 กม./ชม.(จ๊ากก) และมีลักษณะเด่นชัดคือ เป็นพายุที่ก่อตัวจากก้อนเมฆ และย้อยลงมาบนผืนดินในลักษณะเป็นกรวยเกลียว ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50–500 เมตร แม้ว่าพายุชนิดนี้จะมีอายุไม่นานคือ เฉลี่ยประมาณ 1–2 ชั่วโมง แต่มีอำนาจการทำลายสูง สามารถกวาดยกบ้านเรือน รถยนต์ พายุนี้ส่วนใหญ่จะเกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา

พายุฟ้าคะนอง

เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนอง ตรงไหนที่มีอากาศร้อน และมีความชื้น เกิดได้หมด พายุฟ้าคะนองมักจะทำให้มีลมแรง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฝนหนักเกิดขึ้นพร้อมกัน ความรุนแรงก็ทำลายบ้านเรือน ต้นไม้พังได้เหมือนกันนะคะ

ส่วนใหญ่พวกเราคงเจอกันแต่ฝนฟ้าคะนองกันนะคะ แต่แค่นี้ก็จะแย่แล้ว ลองนึกถึงประเทศที่โดนเต็มๆ แล้ว ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดไหมนะคะเนี่ย แค่พี่แนนเจอลมพัดแรงๆตอนฝนตก ร่มพัดหงายเงิบแทนที่จะกันฝนได้ ตัวก็เปียกซะอย่างนั้น



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/21374/ยามเมื่อลม-พายุ-พัดหวน.php#ixzz1CcQTarLJ

10 สุภาษิตเจ๋ง ๆ แบบอินเตอร์ ๆ


Self-conquest is the greats of victory.
การชนะใจตนเอง คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

Blood is thicker than water.
เลือดข้นกว่าน้ำ

Heaven never helps the men who will not act.
สวรรค์ไม่เคยช่วยบุคคลผู้ซึ่งไม่ทำงาน

Time and tide wait for no man.
เวลาและกระแสน้ำไม่คอยใคร

Never too late to learn.
ไม่สายเกินไปที่จะเรียนรู้

Manners maketh man.
กิริยามารยาท ทำให้คนเป็นคน

If at first you don't succeed, try, try, try again.
หากครั้งแรกไม่สำเร็จ พยายาม พยายาม พยายามอีกครั้ง

Don't meet troubles half-way.
อย่าเผชิญปัญหาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

Better be a fool than a knave.
เป็นคนโง่ดีกว่าเป็นคนโกง

Every man to his trade.
ทุกคนมีความถนัดของตนเอง

โอ้..แต่ละประโยคช่างแทงใจพี่แนนมากค่ะ อย่างนี้ต้องจำไปใช้แล้ว แต่จะจำเป็นภาษาไทยก่อนนะคะ ฮ่าๆ แล้วก็จดภาษาอังกฤษท่องไว้ รู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เท่ห์จะตายค่ะ


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/21706/10-สุภาษิตเจ๋งๆ-แบบอินเตอร์ๆ.php#ixzz1CcOCvarl

20 คำทับศัพท์ที่ใช้บ่อยจนคิดว่าเป็นคำไทย



กงสุล (consul) ได้ยินประจำคือ สถานกงศุลค่ะ พี่แนนก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเรียกคล้ายๆกับภาษาอังกฤษเลย

คูปอง (coupon) อันนี้พี่แนนไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่ายังไงดี ก็ทับศัพท์ตลอดเลยค่ะ

โคม่า (coma) เพื่อนพี่แนนตอนอกหัก ร้องไห้ฟูมฟาย จะเป็นจะตาย ก็เรียกว่า อาการโคม่า -_-''

เชิ้ต (shirt) เสื้อเชิ้ต ... แล้วเรียกเสื้ออะไรได้อีกหนอ??

ชอล์ก (chalk) ตั้งแต่เรียนมา คุณครูพี่แนนก็พูดว่าชอล์กตลอดเลยค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าเรียกอย่างอื่นว่าอะไร?

ซอส (sauce) ขาดไม่ได้สำหรับการประกอบอาหาร มีสารพัดซอสเลย

เต็นท์ (tent) มีหลายแบบหลายชนิด เป็นเหมือนที่พักชั่วคราว ที่พกพาได้ โดยเฉพาะเวลาไปค่าย ถ้าได้มีกางเต็นท์ สนุกเลย

แท็กซี่ (taxi) เจอได้ตามท้องถนนทั่วไป สั้นๆง่ายๆ

แบตเตอรี่ (battery) เวลาพี่แนนไปซื้อ เรียกถ่านไฟฉายตลอดเลย แหะๆ

ปลั๊ก,ปลั๊กไฟ (plug) เป็นอุปกรณ์วงไฟฟ้า ทำงานได้ต้องมีทั้งเต้ารับ และเต้าเสียบ แต่แหม จะให้พูดว่า "เอาเต้าเสียบพัดลม ไปใส่เต้ารับ" ก็ดูแปลกๆ ไม่ได้ยินคนพูดกัน ก็เลยพูดว่าเสียบปลั๊ก ก็เข้าใจแล้ว




ฟรี (free) ก็คือ ไม่ต้องเสียอะไร คำนี้เป็นคำที่หลายๆคนชอบ ได้ยินที่ไหนไม่ได้ ต้องไปให้ถึงแหล่ง อิอิ พี่แนนก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำอื่นว่าอะไรค่ะ

ฟิล์ม (film) อันนี้ไม่ใช่นักร้องนะคะ ฮ่าๆ แต่หมายถึงอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของการบันทึกภาพ

ยีราฟ (giraffa) สัตว์โลกน่ารักคอยาวที่สุดในโลกตัวนี้ เพื่อนพี่แนนเคยอ่านเสียงดังๆ ว่า "ไก-รา-ฟี่" ด้วยหล่ะ ฮ่าๆๆ

ลิปสติก (lipstick) หรือเรียกกันสั้นๆว่าทาลิป น้องคนไหนชอบใช้ เรียกอีกอย่างว่าอะไรคะ?

ลิฟต์ (lift) เหมาะสำหรับคนไขข้อเสื่อมอย่างพี่แนน เย้ย พี่แนนขึ้นตึกด้วยบันได้ได้สูงสุดแค่ 5 ชั้นค่ะ นอกนั้นขอพึ่งลิฟต์อ่ะ

แสตมป์ (stamp) ภาษาไทย คือ ดวงตราไปรษณียากร แต่ก็ดูยาวใช่ไหมคะ เลยเรียกกันสแตมป์ สั้นกว่าเยอะ บางทีก็ได้ยินว่า ไปสแตมป์บัตรจอดรถ ก็คือประทับตราจิดรถนั่นเอง

สปาเกตตี (spaghetti) ของกินอีกหนึ่งเมนู เป็นเส้นๆราดซอสหลายแบบ พี่แนนก็ชอบทุกแบบแหละ อิอิ

โหวต (vote) ก็คือการลงคะแนนเสียง แต่ก็นิยมใช้เรียกสั้นๆมากกว่า

ออฟฟิศ (office) เวลาพูด ก็นึกถึงที่ทำงานใช่ไหมคะ ถ้าจะบอกว่ากลับสำนักงาน จะดูเชยไปไหม อิอิ

ฮอร์โมน (hormone) เวลาเจออาหารอร่อยๆ ฮอร์โมนพี่แนนก็พลุ่งพล่าน หน้าตาแจ่มใสกว่าปกติ (เอ๊ะ น่าจะเป็นน้ำย่อยมากกว่านะ ฮ่าๆ)

20 คำนี้เป็นส่วนหนึ่งนะคะ ยังมีอีกเยอะมากๆๆ ที่เราใช้ทับศัพท์กันจนชิน แม้บางคำจะมีคำไทยบัญญัติไว้ แต่เราก็ติดที่ความง่ายและสะดวกของภาษาอังกฤษ เลยใช้กันมาตลอด 20 คำที่ว่ามานี้ บางคำพี่แนนก็ไม่รู้ว่าศัพท์ไทยคืออะไร แหะๆ ก็เลยติดเรียกแบบนี้ไปเลย แต่ไม่ว่บศัพท์จะใช้ทับศัพท์มากแค่ไหน แต่ก็ต้องใช้ให้ถูกต้อง และไม่ลืมความหมายภาษาไทยด้วยนะคะ



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/21967/20-คำทับศัพท์ที่ใช้บ่อยจนคิดว่าเป็นคำไทย.php#ixzz1CcN7YvBq

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

เมื่อลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้

เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้

1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุกครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น

2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง

3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น

4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ

5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่าการอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ

6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น

7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้

8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น




อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/e-diary/story/view.php?id=644710#ixzz1CcMLMV4O

รู้ไหม "อัตโตวินาที" สั้นแค่ไหน?



มิลลิวินาที (Milliseconds)
(1 ในพันของวินาที) ความเร็วระดับนี้ ยังปราณีให้ตาของมนุษย์อย่างเราเห็นได้ค่ะ

ไมโครวินาที (Microsecond)
(1 ในล้านของวินาที) แม่เจ้า เป็นล้านกันเลยทีเดียว เทียบเท่ากับความเร็วของกระสุนปืนค่ะ พี่แนนต้องใช้กล้องจับภาพความเร็วสูงจับภาพค่ะ ถึงจะเห็น

นาโนวินาที-พิโควินาที (Nanosecond-Picosecond)
(1 ในพันล้านของวินาที-1ในล้านล้านของวินาที) จ๊ากกก เวลาสั้นขนาดนี้ ไม่ได้เห็นด้วยตากันแล้วค่ะ ถ้าใครคิดว่าจะเห็นได้ง่าย ลองพาพี่แนนไปดูความเร็วของสัณญาณไฟฟ้าที ระดับนั้นเลยหล่ะ

เฟมโตวินาที (Femtosecond)
(1 ในพันล้านล้านวินาที) ระยะเวลาขนาดนี้ ลงลึกไปถึงเรื่องโมเลกุลกันเลยค่ะ พี่แนนคงหมดปัญญา เป็นระดับความเร็วในการรวมตัวและการแยกตัวของโมเลกุลค่ะ

อัตโตวินาที (Attosecond)
(1 ในล้านล้านล้านของวินาที) มาทีล้านล้านล้าน จัดหนักมาเลย เพราะว่าเป็นหน่วยเวลาที่สั้นสุดๆ ขนาดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในอะตอมเลยทีเดียว!!!


นอกจากจะมีหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง นาที วินาทีแล้ว ยังแบ่งเศษเสี้ยววินาทีออกเป็นล้านล้านล้าน พี่แนนก็เพิ่งรู้นี่แหละค่ะ แต่พี่แนนก็ยังชอบชั่วโมงมากกว่าอยู่ดี โดยเฉพาะเวลานอน ขอหลายๆชั่วโมงเลยนะ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/22670/รู้ไหม-อัตโตวินาที-สั้นแค่ไหน.php#ixzz1CcLIjiJl

หนังสือน่าเบื่อ ไม่สนใจอ่าน อ่านยังไงดี ??

3 วิธี ช่วยในการอ่านเนื้อหาที่ดูแล้วน่าเบื่อ หรือไม่น่าสนใจ แต่ไฟท์บังคับต้องอ่านมาฝากกันค่ะ ไปดูกันเลยว่า ทำยังไงดีเนี่ย??




- อ่านแบบสำรวจ
ลองอ่านแบบผ่านๆไปเลยค่ะ หรือข้ามๆไปบ้างก็ได้ คือยังไงก็ขอให้ดูผ่านตาไว้ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ ถ้ามีตัวอย่างหลายตัวอย่าง ก็เลือกดูสัก 2-3 ตัวอย่างก็พอค่ะ

- อ่านย้อนหลัง
ตำราจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ เค้าว่ากันว่ามักจะเก็บสาระสำคัญไว้ตอนท้ายๆ ดังนั้นเราก็แอบมีทางลัด ลองอ่านจากตอนท้ายดูบ้างก็ได้ค่ะ อิอิ

- พักบ่อยๆ
เห็นว่าให้พักบ่อยๆ ไม่ใช่เอะอ่ะ ก็พักนะคะ เราต้องวางแผนก่อนว่า จะทนอ่านนานสักเท่าไหร่ 20-30 นาที หรือจะมากกว่านั้น แล้วดูว่าจะทำอะไรตอนพัก เพราะกิจกรรมที่เราจะทำตอนพัก จะช่วยให้เรากระตือรือร้นขึ้นมาได้อีกครั้งค่ะ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/22989/หนังสือน่าเบื่อ-ไม่น่าสนใจ-อ่านยังไงดี.php#ixzz1CcKAVsMH

วิธีหาข้อมูลทำรายงานให้ได้เกรด A+


1.เริ่มแรกก็ต้องดูจากหัวข้อรายงานนั้นก่อนค่ะ ว่าครอบคลุมไปถึงหัวข้อย่อยๆเรื่องไหนบ้าง เช่น "มลพิษทางอากาศ" หัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้อง เช่น อากาศ,อากาศกับสุขภาพ,นิเวศวิทยา,มาตรฐานสิ่งแวดล้อม,สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แล้สก็ม่ดูว่า ต้องใช้ข้อไหน จำเป็นไหม ถ้าไม่จำเป็นก็ตัดออก ฉับ!!

2.ทวบทวนสิ่งที่รู้อยู่แล้ว เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ จะได้ไม่เสียเวลาไปค้นหาสิ่งที่รู้อยู่แล้วอีก

3.ใช้บรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิงของหนังสือที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ค่ะ ซึ่งน้องๆอาจจะใช้เป็นแหล่งหาข้อมูลเพิ่ม จะได้รู้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น แล้วยังได้รู้ทั้งข้อมมูลที่อัพเดทและข้อมูลดั้งเดิม

4.เวลาเลือกหนังสือน้องควรเลือกที่เกี่ยวข้องมาก่อนทีเดียวให้มากๆ ก่อนจะเริ่มอ่าน จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาหยิบเพิ่มเติม ลดความวุ่นวาย


5. อ่านคร่าวๆ ดูสารบัญ ดูว่าเนื้อเรื่องสัมพันธ์กับสิ่งที่ต้องการไหม เพื่อตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ จะได้ไม่เสียเวลา

6.จัดเรียงหนังสือที่เราจะใช้อ้างอิงตามตัวอักษรค่ะ จะได้สะดวกในการค้นคว้าซ้ำ

7.จดข้อมูลหนังสือที่เราใช้ให้ละเอียดที่สุด ทั้งชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ หน้าที่ใช้ เวลาที่กลับมาใช้อ้างอิงอิง จะได้ไม่เสียเวลา อิอิ

8.จะใช้ห้องสมุด ก็ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยถูกระเบียบนะคะ จะได้ไม่มีปัญหานะ


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/23385/วิธีหาข้อมูลทำรายงานให้ได้เกรด-A.php#ixzz1CcIkLOau

วิธีจุดไฟอ่านหนังสือ(ขั้นแผดเผา)

1.เขียนคำที่เป็นแรงบันดาลใจติดผนัง - หาถ้อยคำที่กำลังใจดีๆ ความหมายดีๆ จะมาจากคนดัง หรือไอดอลของเราก็ได้นะคะ หรือบางทีอาจจะเป็นท่อนหนึ่งจากเนื้อเพลงที่ฟังแล้วโดน ก็เอามาเขียน

เป็นไปได้ก็เขียนแปะผนังทุกที่เลยค่ะ ตั้งแต่ประตูหน้าห้อง หลังประตู ผนังห้องนอน บนฝ้า ห้องน้ำ ติดหมดทุกที่ ยิ่งถ้าใช้โพสต์อิทสีสันต่างๆ ห้องขาวๆ กลายเป็นห้องสีคัลเลอร์ฟูลกันเลยทีเดียวค่ะ ทีนี้เวลาเดินผ่าน ยังไงก็ต้องเห็น เป็นกำลังใจดีๆอย่างหนึ่งค่ะ

2.เขียนเป้าหมายที่ต้องการตัวโตๆหน้าห้อง - อย่างถ้าน้องๆต้องสอบ หรืออ่านหนังสือ ก็เขียนไว้ตัวใหญ่ๆเลยค่ะ เช่น อ่านหนังสือ,สอบแล้ว,ห้ามอู้,เกรด A ฯลฯ กระตุ้นให้เราไม่ลืมเป้าหมาย

3.บอกตัวเองเสมอว่า "เราทำได้" - เวลาท้อ เหนื่อย หรือเริ่มจะไม่ไหว ให้คิดเลยว่า เราทำได้ คนอื่นๆทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ จริงไหมคะ ตอนแรกอาจจะเสียงเบาๆว่า "เราทำได้" แต่พูดบ่อยๆ เเราก็จะเข้มแข็ง และเชื่อมั่นในตัวเองค่ะ

4.คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คนที่เรารัก - ให้ลองมองย้อนดูว่า ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่เลี้ยงเรามาท่านเหนื่อยยากแค่ไหน ชั้นอนุบาล-ประถม ท่านก็หาที่เรียนให้เรา พอชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายเราต้องสอบเข้า ถ้าสมมุติว่าเราสอบเข้าร.ร,ที่เราอยากเข้าไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอแค่ให้เรามีที่เรียนเป็นพอ...
แต่พอถึงมหาวิทยาลัย ลึกๆในใจของท่านก็คงอยากได้เราติดคณะดีดี อยากให้เราแอดมิชชั่นติด เพราะแต่ละคณะก็บ่งบอกถึงอนาคตว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เมื่อเราแอดมิชชั่นติดท่านก็โล่งอก สบายใจ และดีใจกับเรา อย่างน้อยเราก็เริ่มต้นกับก้าวแรกของชีวิตเราได้

5.ให้รางวัลตัวเอง - ตั้งรางวัลตัวเองไว้บ้างก็ได้ค่ะ เช่น ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราจะไปชอปปิ้งซื้อเสื้อตัวใหม่เป็นรางวัล แต่ถ้าอ่านไม่จบ ก็ห้ามซื้อ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/23600/วิธีจุดไฟขยันอ่านหนังสือขั้นแผดเผา.php#ixzz1CcHFkyWU

15 มกราคม 2554

คนแรกและสิ่งแรกของประเทศไทย !!

คนแรกและสิ่งแรกของประเทศไทย ที่พอจะหาได้ อาจจะมีมากกว่านี้


# กษัตริย์ไทยพระองค์แรก (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)

# นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย (พระยามโนปกรณ์นิติธาดา)

# ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของไทย (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)

# สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของไทย (นางอรพินท์ ไชยกาล)

# อธิบดีหญิงคนแรกของไทย (คุณหญิงอัมพร มีศุข อธิบดีกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ)

# จอมพลคนแรกของเมืองไทย (จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวาษ์วรเดช)

# นักดาราศาสตร์คนแรกของไทย (รัชกาลที่ 4)

# นางสาวไทยคนแรกของประเทศไทย (นางสาวกันยา เทียนสว่าง)

# นางสาวไทยคนแรกที่ชนะการประกวดนางงามจักรวาล (นางสาวอาภัสรา หงสกุล)

# สตรีไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ (คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง)

# นักมวยไทยคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลก (โผน กิ่งเพชร)

# นักพากย์ภาพยนตร์คนแรกของไทย (นายสิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว))

# นักเขียนการ์ตูนคนแรกของไทย (ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต (เปล่งไตรปิ่น))

# ผู้คิดประดิษฐ์อักษรไทยคนแรก (พ่อขุนรามคำแหง)

# ผู้คิดตัวพิมพ์อักษรไทยเป็นคนแรก (ร้อยโท เจมส์ โลว์)

# ผู้เริ่มใช้กระแสไฟฟ้าเป็นคนแรกของไทย (จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต))

# ผู้เปิดเดินรถเมล์ในกรุงเทพมหานครเป็นคนแรก (พระยาภักดีนรเศรษฐ์ (นายเลิศ))

# ผู้ประดิษฐ์รถสามล้อขึ้นใช้ในประเทศไทยเป็นคนแรก (นายเลื่อน พงษ์โสภณ)

# ผู้ให้กำเนิดลูกเสือไทยคนแรก (รัชกาลที่ 6)

# ผู้เริ่มแท็กซี่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก (พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อปี พ.ศ.2466)

# ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า "สวัสดี" (พระยาอุปกิตศิลปสาร)

# ผู้ให้กำเนิดเพลงสรรเสริญพระบารมี (กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์)

# ผู้ให้กำเนิดเพลงชาติไทย (พระเจนดุริยางค์ (บรรเลงครั้งแรกโดยวงดุริยางค์ทหารเรือ))

# ผู้แต่งเพลงกราวกีฬา (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย" (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" (สมเด็จพระราชบิดา กรมหลวงสงขลานครินทร์)

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งกองทัพเรือ" (กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์(พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5))

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการสหกรณ์แห่งประเทศไทย (กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)

# ฝาแฝดคู่แรกของไทย (ฝาแฝด อิน - จัน เกิดเมื่อ 11 พฤกษภาคม พ.ศ. 2434 ที่ จ. สมุทรสงคราม)

# ผู้ที่ริเริ่มใช้ ร.ศ. (รัตนโกสินทร์ศก) (รัชกาลที่ 5)

# ร.ศ. 1 ตรงกับปี พ.ศ. (พ.ศ. 2331)

# เรือกลไฟลำแรกของประเทศไทย (เรือสยามอรสุมพล)

# โรงพยาบาลแห่งแรกของไทย (โรงพยาบาลศิริราช)

# มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

# โรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของไทย (โรงเรียนอนุบาลที่โรงเลี้ยงเด็ก ซึ่งพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระอัครชายาใน[*]# รัชกาลที่ 5เป็นผู้ให้กำเนิด)

# ธนาคารเอกชนแห่งแรกของไทย (แบงก์สยามกัมมาจล (ปัจจุบัน คือธนาคารไทยพาณิชย์))

# โรงภาพยนตร์โรงแรกในกรุงเทพฯ ที่ฉายจอซีนีมาสโคป (โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย)

# ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ออกฉายให้ประชาชนชมครั้งแรกเรื่อง (นางสาวสุวรรณ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2466)

# โรงแรมแห่งแรกของไทย (โรงแรมโอเรียนเต็ล)

# โรงพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทย (โรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ ตั้งอยู่ที่ธนบุรี)
[*]# บทประพันธ์ที่ทำการขายลิขสิทธิ์ครั้งแรกในประเทศไทย(นิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัยขายให้กับหมอบรัดเลย์)

# แบบเรียนเล่มแรกของคนไทย (หนังสือจินดามณี พระโหราธิบดีเป็นผู้แต่ง)

# หนังสือไทยเล่มแรก (หนังสือไตรภูมิพระร่วง)

# หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย (หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอดเดอร์ เมื่อปี พ.ศ.2387)

# ปฏิทินฉบับภาษาไทยของประเทศไทยจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ (ปี พ.ศ.2385)

# วิทยุโทรทัศน์มีขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อ (ปี พ.ศ.2497 สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม)

# สถานีโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศไทย (สถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ปัจจุบัน คือ ช่อง 9 อสมท.)

# โรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรก (โรงเรียนวัดมหรรณพาราม)

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2030283#ixzz1BBA8niIQ

10 มกราคม 2554

ผิวแห้งในหน้าหนาวดูแลอย่างไรดี ??


หนาว หนาว หนาว พอถึงหน้าหนาวสาวๆ ผิวแตก … ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่อุณหภูมิลดลงแบบนี้ความชื้นในอากาศจะลดลง ทำให้อากาศรอบๆ ตัวเราแห้ง ส่งผลให้น้ำในผิวหนังของเราระเหยผ่านผิวหนังออกมาสู่บรรยากาศ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังของเราลอกเป็นขุย

ในบางคนที่มีผิวบางมากๆ อาจเกิดอาหารอักเสบระคายเคืองหรือมีอาการคันง่าย ริมฝีปากอาจแห้งแตก หนังศีรษะแห่งและลอก (เป็นรังแค) ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงที่อากาศหนาวแบบนี้ยังเป็นปัจจัยที่เอื้อให้โรคผิวหนังบางโรคเกิดการกำเริบได้ง่ายมากขึ้น เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic Dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นต้น

สำหรับสาวๆ อย่างพวกเรา การดูแลผิวในช่วงฤดูหนาวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราจะต้องดูแลผิวหนังให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะทำยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และหลังจากอาบน้ำควรทาโลชั่นให้ชุ่มชื้นหลักจากการอาบน้ำทุกครั้ง เนื่องจากหลังอาบน้ำใหม่ๆ น้ำยังระเหยไปไม่หมด โลชั่นจะอุ้มน้ำได้ดีค่ะ

ส่วนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ในสาวๆ ที่มีอาการเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังซึ่งจะมีอาการผิวแห้งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม สี และสารกันเสีย เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย

สาวๆ คนไหนที่เป็นผิวปกติหรือผิวแห้งน้อยควรเลือกทาโลชั่นค่ะ แต่ถ้าเป็นสาวที่มีผิวแห้งปานกลางถึงแห่งมากควรใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นกับผิวชนิดที่เป็นครีมหรือขี้ผึ้ง ส่วนการเลือกใช้สบู่ควรเลือกใช้สบู่ที่มีความระคายเคืองต่อผิวน้อย เลือกใช้สบู่ที่ไม่มีความเป็นกรดหรือด่างมากจนเกินไป และเวลาที่สาวๆ อาบน้ำไม่ควรฟอกสบู่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้ไขมันบนผิวหนังลดน้อยลงค่ะ สำหรับสาวๆ ที่มีผิวแห้งมากไม่ควรอาบน้ำเกินวันละ 2 ครั้ง โดยอาจอาบน้ำเปล่า และเลือกฟอกสบู่เฉพาะตามซอกต่างๆ ที่มีความอับชื้น เช่น คอ ขาหนีบ และรักแร้ ก็สามารถช่วยลดอาการแห้งของผิวได้ค่ะ

ครีมกันแดดก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับสาวๆ เสมอ เพราะในฤดูหนาวถึงอาจมีอากาศเย็นสบาย แต่ก็มีแดดแรงมากเช่นกัน การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ อย่างเราไม่ควรมองข้าม เพราะในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งจะไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ ดังนั้น สาวๆ จึงควรทาครีมกันแดดทุกวันและควรทาครีมกันแดดก่อนออกโดนแดดอย่างน้อย 30 นาที


หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. การทาครีมกันแดดควรทาให้เพียงพอ ไม่บางหรือหนาจนเกินไป ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ มีความคงตัวสูง ไม่ว่าจะโดนน้ำ หรือเหงื่อ ไม่เหนียว สำหรับคนที่อยู่ในอาคาร ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 15 แต่ถ้าต้องออกไปโดนแดดจัด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 30

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและมีหลายคนที่ยังไม่ทราบก็คือ ในผู้ที่ใช้ยาบางประเภท เช่น ยารักษาสิว ยาลดความดัน ยาขับปัสสาวะและยาลดไขมัน จะทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรดูแลผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้ายังมีผิวแห้งมาก คันมาก มีผื่นขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ผิวหนังในทันที

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/girl/22727/ผิวแห้งในหน้าหนาวดูแลยังไงดี.php#ixzz1AeJNdFWY

4 สูตรลดความอ้วนเห็นผลเร็วทันใจ



1. การไดเอทแบบ Abs Diet Power 12

เป็นการยึดหลักการทานอาหาร 12 อย่าง อันได้แก่ อัล มอนด์ , ถั่ว , ผักโขม , ผลิตภัณฑ์จากนม, ข้าวโอ๊ตกึ่งสำเร็จรูป , ไข่, ไก่งวง, เนยถั่ว, น้ำมันมะกอก, ขนมปังโฮลวีต, โปรตีนผง, ราสเบอร์รี่, หรือผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่าง ๆ และถ้าเอาตัวอักษรหน้าชื่ออาหารทั้งหมดมารวมกันก็จะได้คำว่า "Abs Diet Power" พอดีเป๊ะค่ะ

โดยการกินอาหารทั้ง 12 ชนิดจะช่วยสลายไขมันสะสม และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญ ทำให้ไม่มีไขมันสะสมใหม่เพิ่มเข้ามาในร่างกายของเรา อีกทั้งแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะร่างกายเราจำเป็นต้องมีวิตามินร่วมด้วยในการดูดซึมสารอาหารบางตัว และความหวานของน้ำผลไม้ยังช่วยให้คุณไม่หิว จะได้ไม่มีข้ออ้างหาของกินโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญอีกอย่าง ก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว นอกจากนี้สูตรนี้ยังอนุญาตให้สาวที่ชอบปาร์ตี้ สามารถดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ได้อาทิตย์ละ 3 แก้วด้วยค่ะ


2. การไดเอทตามสูตร Chocolate Diet

เคล็ดลับของสูตรนี้อยู่ที่คาเฟอีนในช็อกโกแลต ซึ่งสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายได้ ถ้ากินช็อกโกแลตแท้แบบไม่มีน้ำตาล หรือแบบที่มีน้ำตาลไม่เกินร้อยละ 40 จะเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในมื้อนั้นขึ้นอีกร้อยละ 15 และระหว่างวันถ้ากินช็อกโกแลตแบบน้ำตาลต่ำ ๆ ชิ้นเล็ก ๆ สักสองชิ้นก็จะทำให้คุณอยากของหวานน้อยลง

3. การไดเอทด้วยสูตร Ginger Tea Diet

การไดเอทด้วยน้ำขิงนั้นเป็นวิธีตามแพทย์แผนอินเดีย ที่ยกย่องว่า "ขิง" คือ สุดยอดที่สามารถรักษาได้สารพัดโรค และอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดี ถ้าจิบระหว่างวันทุกวัน หรือกินหลังมื้ออาหารก็จะช่วยสลายไขมันสะสมได้เร็วขึ้น


4. การไดเอทด้วยอินเทอร์เน็ต

หลายคนฟังแล้วก็คงจะสงสัยว่า อินเทอร์เน็ตมีส่วนช่วยในการไดเอทได้อย่างไร คำตอบก็คือ เพราะว่าการท่องโลกไซเบอร์ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ทีเกี่ยวกับการลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ แถมยังได้เจอเพื่อนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน ทำให้มีแรงกระตุ้นที่จะไดเอทอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ ดังนั้นผู้หญิงที่เล่นอินเทอร์เน็ต จะไดเอทได้เร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่เล่นอินเทอร์เน็ตเลย



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2024516#ixzz1AeHfvpYd

เทคนิครับมือปัญหา น้องหมาชอบหอน



คง ไม่ดีแน่ ๆ หากน้องหมาของคุณชอบที่จะส่งเสียงเห่าหอนอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจากจะสร้างความรำคาญให้เจ้าของแล้ว ยังอาจกระทบกระเทือนไปถึงบ้านใกล้เรือนเคียงจนกลายเป็นปมปัญหามองหน้ากันไม่ ติดก็เป็นได้

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากคิดจะแก้ไขพฤติกรรมชอบหอน งั้นลองมาดูกันว่า การหอนของน้องหมามาจากสาเหตุได้บ้าง

ความเหงา สังเกตได้ว่าสุนัขที่อยู่บ้านเพียงลำพังตัวเดียวนาน ๆ จะชอบหอน หรือหอนมากกว่าสุนัขที่ร่าเริง อันเนื่องมาจากความเหงาและความกลัวนั่นเอง

สภาพแวดล้อม อาจเป็นไปได้ว่า การเริ่มต้นของเขาถูกสนับสนุนจากเจ้าของโดยไม่รู้ตัว ทำให้น้องหมาเข้าใจผิดไปว่าการเห่าหอนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ดี เช่น เมื่อเขาหอนแล้วคุณปล่อยเขาออกนอกบ้าน อาจด้วยความรำคาญหรืออื่นใดก็ตาม น้องหมาก็จะจดจำจนติดเป็นนิสัย

การไม่ได้ออกกำลังกาย สุนัขที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอทำให้พวกเขาเลือกที่ปลด ปล่อยพลังบางส่วนด้วยการเห่าหอน แต่ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายจนเคยชินแล้วล่ะก็ อาจจะหลับมากกว่าหอนก็ได้นะ

การได้ยินเสียง อย่าง ที่รู้กันดีว่าประสาทสัมผัสของสุนัขนั้นไวมาก หากเขาได้ยินเสียงที่มีความถี่ต่ำหรือสูงกว่าปกติก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้สุนัขหอน สังเกตได้จากเวลาที่ได้ยินเสียงแหลม ๆ หรือกังวานสุนัขมักจะหอน


จัดการอย่างไร น้องหมาชอบหอน

พาออกกำลังกายบ้าง การพาน้องหมาไปเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือพาไปพบปะสุนัขตัวอื่น ๆ จะช่วยให้เขารู้สึกดี และรู้จักการเข้าสังคม

หากิจกรรมให้ทำ ยามที่ต้องอยู่บ้านตัวเดียว อาจหาของเล่น หรือขนมขบเคี้ยวมาวาง หรือซุกซ่อนให้เขาได้หา เพื่อเป็นกิจกรรมดึงความสนใจในเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน

สอนคำสั่ง เพื่อปรับพฤติกรรม ข้อนี้อาจต้องใช้ความอดทนและเวลา โดยเจ้าของต้องออกคำสั่ง "เงียบ" หรือ "อย่าหอน" ทุกครั้งที่น้องหมาเริ่มหอน และหากิจกรรมอย่างอื่นให้เขาทำ เช่น วางขนมบนจมูก ทำเช่นนี้น้องหมาจะหยุดหอน และหันมาสนใจขนมแทน เมื่อเขาหยุดหอนให้ทิ้งเวลาสักแป๊ป ก่อนจะให้ขนมเป็นรางวัล

อ่านต่อ : http://www.dogilike.com/board/view.php?id=1172#ixzz1AeFPgWC4

สำนวนที่เกิดจากอุบัติเหตุ

1.จี้เส้น
ความหมาย พูดหรือทำให้ผู้ดูผู้ฟังขบขันหัวเราะ เช่น ตลกจี้เส้น เป็นสำนวนใหม่พวกเดียวกันนี้ยังมี “เส้นตื้น” คือคนที่หัวเราะง่ายก็ว่าคนนั้นเส้นตื้น

2. ใจดีสู้เสือ
ความหมาย ทำใจให้เป็นปกติเผชิญกับสิ่งที่น่าหลัว
ตัวอย่าง
“เราก็หมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน”
พระอภัยมณี

3. ดากแล้วมิหนำเป็นซ้ำเป็นสองดาก
ความหมาย มีเรื่องลำบากเกิดขึ้นหับตัว แล้วมีเรื่องลำบากเกิดขึ้นอีกซ้ำอีก ทำให้ลำบากมากขึ้น
ความเป็นมา มีนิยายเล่าว่า ยายแก่คนหนึ่ง เป็นโรคดาก วันหนึ่งออกไปส้วม ผีเด็กเห็นเข้าก็ฉวยเอาไปเล่น ยายแก่ดีใจที่หายจากโรคก็มาเล่าให้ยายแก่อีกคนหนึ่งฟัง แล้วก็ไปส้วมนั้น ผีเด็กก็นำดากมาคืนที่เก่า แต่กลับโดนยายคนที่2 ทำให้ยายคนที่2เป็นดากมากขึ้นกว่าเดิม

4. ดาบสองคม
ความหมาย สิ่งที่เราทำลงไปอาจให้ผลทั้งทางดี และทางร้ายได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนกับดาบ ซึ่งถ้ามีคมทั้งสองข้างก็ย่อมเป็นประโยชน์ใช้ฟันได้คล่องแคล่วดี แต่ในขณะที่ใช้คมข้างหนึ่งฟันลง คมอีกด้านหนึ่ง อาจโดนตัวเองเข้าได้ การทำอะไรที่อาจเกิดผลดีและร้ายได้เท่ากัน จึงเรียกว่า เป็นดาบสองคม

5. ดูตาม้าตาเรือ
ความหมาย พูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
ความเป็นมา มาจากการเล่นหมากรุก ซึ่งมีตัวหมากเรียกว่า “ม้า” และ “เรือ” ม้าเดินตามเฉียงทะแยงซึ่งทำให้สังเกตยาก ส่วนเรือเดินตายาวไปได้สุดกระดานเวลาเดินหมากอาจจะเผลอ ไม่ทันสังเกตตาที่ม้าอีกฝ่ายหนึ่งเดิน หรือไม่ทันเห็นเรืออีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่ไกล เดินหมากไปถูกตาที่ม้าหรือเรือฝ่ายตรงข้ามสกัดอยู่ ก็ต้องเสียตัวหมากของตนไปให้คุ่แข่ง การดูหมากต้อง “ดูตาม้าตาเรือ” ของฝ่ายตรงข้าม เลยนำสำนวนนี้มาพูดกันเมื่อเวลาจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม

6. ตกกระไดพลอยโจน
ความหมาย พลอยประสมทำไปในเรื่องที่ผู้อื่นเป็นต้นเหตุก็ได้ หรือเป็นเรื่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นก็ได้
ความเป็นมา เมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องทำตามไป สำนวนนี้มีความหมายเป็นสองทาง ทางหนึ่งผู้หนึ่งผู้อื่นเป็นไปก่อนแล้วตัวเองพลอยตามเทียบตามคำในสำนวนก็คือว่า เห็นคนอื่นตกกระไดตนเองก็พลอยโจนตาม อีกทางหนึ่งไม่เกี่ยวกับคนอื่น ตนเองรู้สึกตนว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องทำโดยที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ก็เลยประสมทำไปเสียเลย เทียบกับคำในสำนวนเทียบกับว่าตนเองตกกระไดแต่ยังมีสติอยู่ ก็รีบโจนไปให้มีท่าทางไม่ปล่อยให้ตกไปอย่างไม่มีท่า
ตัวอย่าง ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนปลายงามเข้าหาศรีมาลา มีกลอนขุนแผนว่า
“งองามก็หลงงงงวย ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ ทำเป็นหุนหันโกรธเข้าพลอยงาม”

7. ตกหลุม
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ หกล้มคว่ำลงไปกับพื้น
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากการจับกบ ซึ่งรีบตะครุบไม่ทันให้กบกระโดดหนี พลาดท่าพลาดทางก็ล้มคว่ำลงไปกับพื้น ใครคว่ำหน้าลงไปจึงพูดว่า “ตะครุบกบ” บางครั้งก็พูดว่า “จับกบ”

8. บ่อนแตก
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ มีคนทำการชุมนุมกันมากๆ หรือการมากินเลี้ยง เกิดเรื่องต้องทำให้หยุดชะงักเลิกไปกลางคัน
ความเป็นมา มาจากการติดบ่อนเล่นการพนัน ซึ่งมีคนมาเล่นกันมาก ขณะการเล่นก็ต้องมีการหยุดชะงักต้องเลิกไปกลางคัน เรียกว่า บ่อนแตก คำนี้เลยกลายมาเป็นสำนวน

9. ปราณีตีเอาเรือ
ความหมาย ช่วยด้วยความปราณี แต่กลับต้องถูกประทุษร้ายตอบ
ตัวอย่าง
“เอออะไรมาเป็นเช่นนี้ ช่วยว่าให้ดีก็มิเอา
มุทะลุดุดันกันเหลือ ปราณีตีเอาเรือเสียอีกเล่า”
สังข์ทอง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2

10.ปัดขาเก้าอี้
ความหมาย เจตนาหรือแกล้งทำให้ผู้ครองตำแหน่งหรือหน้าที่อันใด ต้องเสียหรือพ้นจากตำแหน่งหน้าที่นั้นไป เก้าอี้ หมายถึง เก้าอี้ที่สำหรับนั่งปฏิบัติงานประจำ ปัดเก้าอี้ คือไม่ได้นั่งปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้อีก แล้ว
ตัวอย่าง
ในหนังสือนิพพานวังหน้า มีพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อรวบรวมความลงก็ไม่ผิดกับชาววังน่าชั้นหลัง ๆ แลไม่ปองร้ายกันถึงจะหักกันลงข้างหนึ่ง เป็นแต่ประมูลอวดดีกันนินทากัน แตะตีนกัน ซึ่งนับว่าเป็นแบบอันไม่ไห้ความเจริญแก่แผ่นดิน”

11. ผงเข้าตาตัวเอง
ความหมาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง หรือเกิดเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองแล้วตัวเองไม่สามารถแก้ไขได้
ความเป็นมา คนที่มีความรู้ความคิดดี มีสติ ปัญญาเฉลียวฉลาด ทำอะไรให้ใคร ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่พอมีปัญหาหรือมีเรื่องอะไร เกิดขึ้นกับตัวเอง กลับหมดปัญญาที่จะแก้ไข

12. เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว
ความหมาย เลินเล่อ ไม่เอาใจใส่ระวังดูแลให้รอบคอบ
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากนิทานโบราณ ใน นนทุกปกรณัม เรื่องมีว่ามีพรานไปซุ่มช้อนปลากับภรรยา ภรรยานั้นเป็นกาลกิณีกระเดียดกระเชอก้นรั่วตามสามี สามีช้อนได้ปลามาใส่กระเชอ ภรรยาก็ไม่พิจารณา ปลาก็ลอดลงน้ำไป สามีไม่รู่ช้อนได้หลงใส่กระเชอไปเรื่อย ๆ ปลาก็ลอดไปหมดไม่เหลือ ระหว่างนั้นมีภรรยานายสำเภา เป็นหญิงดีมีสิรินั่งอยู่ท้ายเรือ เห็นปลาลอดลงน้ำก็ยิ้ม นายสำเภาเป็นกาลกิณี เห็นนางดูนายพรานแล้วยิ้มเข้าใจว่านางพอใจ พรานก็โกรธ จะให้นางไปเป็นเมียพราน ในที่สุดนายสำเภากับนายพรานก็ตกลงแลกเมียกัน เมียนายพรานมาอยู่กับนายสำเภา ทำให้พรานเจริญขึ้นเป็นเสนาบดีของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาแผ่นดิน นั่นคือใครที่ทำอะไรเผลอเรอเลินเล่อทำอะไรไม่รอบคอบก็พูดกันว่า “เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว”

13. แผ่สองสลึง
ความหมาย นอนหงายแผ่ สำนวนนี้มักใช้กับคนที่ลื่น หกล้มลงไปนอนหงายแผ่
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากเงินเหรียญที่ใช้แทงถั่วโปตามโรงบ่อน บ่อนถั่วมีไม้ขอยาวปลายเป็นห่วงกลมสำหรับคล้องเงินที่คนแทง เวลากินก็คล้องเงินลากมา หรือเอาไปจ่ายคนที่แทงถูกก็ได้ เหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงเป็นเหรียญแบบติดเสื่อใช้ไม้ขอคล้องเกี่ยวไม่ติด นายบ่อนจึงทุบเหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงให้พับงอ ที่แบบแผ่ติดตามรูปเดิมไม่ค่อยมี ดังนั้นเมื่อพบสลึงกับเหรียญสองสลึง ให้พับงอสำหรับให้ไม้ขอได้ง่าย สำนวน “แผ่สองสลึง” แล้วเอามาใช้เป็นสำนวนพูด เมื่อใครลื่นล้มลงไปนอนแผ่ ก็พูดกันว่าลงไป แผ่สองสลึง

14. แพแตก
ความหมาย ญาติพี่น้องหรือคนที่เคยอยู่ร่วมกันกระจัดกระจายกันไป เช่นพูดว่าสิ้นผู้ใหญ่เสียคนก็เป็นแพแตก
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากแพไม้ที่มัดรวมกันเป็นแพ เช่นแพไม้สัก แพไม้รวก ฯลฯ หวายหรือเครื่องที่รัดขาด ไม้นั้นก็กระจายเพ่นพ่านไป เรียกว่า แพแตก สำนวนนี้ใช้กับคนที่อยู่ร่วมกันมากๆ
“มึงจึงจ้วงจาบว่าหยาบคาย แสนร้ายเหี้ยมเกรี้ยมไม่เจียมตัว
พลัดพ่อพลัดแม่เป็นแพแตก กลับมาดันแดกเอาเจ้าผัว”
บทละครรามเกียรติ์ของกรมพระราชวังบวร ฯ

15. พูดจนโดนตอ
ความหมาย พูดเรื่องเกี่ยวกับผู้ใดผู้หนึ่งโดยไม่รู้ว่าผู้นั้นอยู่ในที่นั้นด้วย “ตอ” คือตอไม้ที่ตั้งโด่อยู่ในน้ำ หรือพื้นดินเรามักจะเอามาเปรียบกับคนที่ปรากฏอยู่เฉย ๆ เช่นพูดว่า นั่งเป็นหัวหลักหัวตอ


16. ม้าดีดกระโหลก
ความหมาย กิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน
ความเป็นมา คนที่มีกิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน มักใช้ว่าผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย จะลุกจะนั่งหรือเดินพรวดพราดเตะนั่นโดดนี่กระทบโน่นไปรอบข้างที่พูดว่า “ดีดกระโหลก” ฟังดูเป็น “ม้าดีดกระลา” แต่ความจริงเปรียบเหมือนกิริยาของม้า คือม้าที่พยศมักจะมีกิริยาที่เรียกว่า ดีด กับ โขก อยู่ด้วยกัน
ตัวอย่าง
“เหมือนม้าดีขี่ขับสำหรับรบ ทั้งดีดขบโขกกัดสะบัดย่าง”
กลอนพระอภัยมณี

17. เรือล่มเมื่อจอด
ความหมาย ทำหรือปฏิบัติอะไร ๆ ผ่านพ้นมาเรียบร้อย พอจะสำเร็จหรือพอเสร็จกลับเสียไม่สำเร็จไปได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนแจวพายเรือมาถึงที่หมาย พอจอด เรือก็ล่ม สำนวนนี้ใช้กับการพูดดีเรื่อยมา พอจะจบก็ลงไม่ได้ “เรือล่มเมื่อจอด” มักจะมีต่อว่า ตาบอดเมื่อแก่
“เรือ เทียบถึงท่าแล้ว และมา
ล่ม ละลายโภคา ชวดใช้
เมื่อหนุ่มเท่าชรา แสวงสิ่ง ใดเฮย
จอด จ่อจวนเจียนได้ สิ่งนั้นศูนย์เสีย”
โครงสุภาษิตเก่า

18. ล่มหัวจมท้าย
ความหมาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ยากมีดีจนด้วยกัน ฯลฯ
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากเรือ ผัวเมียลงเรือไปค้าขาย ช่วยกนทำมาหากิน การไปเรือมักจะพูดกันว่า ผัวถือท้ายเมียถือหัว หรือผัวแจวท้ายเมียพายหัว เป็นการช่วยกัน เมื่อเรือล่มก็จมไปด้วยกัน จึงพูดกันว่า จมหัวจมท้าย

19. เลือดเข้าตา
ความหมาย มุ ทะลุ ดื้อทำไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากการชกมวย หรือการต่อสู้ เมื่อถูกต่อยหรือถูกตี ถูกฟันแทงแถวหน้าผาก หรือคิ้วแตกเป็นแผล เลือดไหลเข้าตา ก็เกิดมานะมุทะลุเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมุมานะโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ตัวอย่าง เสียพนันมากก็ยิ่งเล่นใหญ่ จึงควรพูดว่า เลือดเข้าตา

20. วัดถนน
ความหมาย หกล้มราบลงไปกับพื้น
ความเป็นมา เมื่อหกล้มราบลงไปกับพื้น แล้วจะใช้พูดล้อคนที่ล้มว่าลงไปวัดถนนว่ากว้างยาวเท่าไหร่

21. วิ่งเป็นไก่ตาแตก
ความหมาย ซุกซน ดั้นด้นไปอย่างงมงาย
ความเป็นมา ซึ่งมาจากการเล่นชนชนไก่ ไก่ที่ถูกคู่ชนแท่งด้วยเดือยจนตาแตกไม่เห็นอะไร มักจะวิ่งหนีซุกซนไปทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นทาง
ตัวอย่าง ในพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ 5 ถึงเจ้าพระยาธรรมา ฯ แห่งหนึ่งว่า
“ไปด่วนหักโหมเอางาใหญ่ ๆ ดีๆ กลึงเสียถ้าต่อไปมันดีขึ้นจะต้องวิ่งหางาตาแตก”

22. สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
ความเป็นมา คำว่า สี่ตีน โบราณหมายถึงช้าง ในเรื่องนางนพมาศว่า “ถึงบุราณท่าว่าคชสารสี่ตีน ยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ล้ม ใครอย่าได้ประมาท คำอันนี้ก็เป็นจริง” เพราะว่าช้างเวลาก้าวเท้าจะก้าวหนักมั่นคงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ
ตัวอย่าง
“สี่ตีน คือช้างใหญ่ เยี่ยมเขา
ยังพลาด พลิกแพลงเบา บาทเท้า
นักปราชญ์ อาจองเอา อรรถกล่าว ได้นา
ยังพลั้ง พลาดขาดค้าง อย่าอ้างอวดดี”
โครงสุภาษิตเก่า

23.หัวชนกำแพง
ความหมาย สู้ไม่ถอย สู้จนถึงที่สุด ฯลฯ ไปติดกับกำแพงไปไหนไม่ได้ ก็ยังสู้
ตัวอย่าง บทละครดึกดำบรรพ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศร์ ฯ
“น้อย ฤแนะ เป็นไรมีล่ะ คงได้ดูดีหรอก เล่นกะมันจนหัวชนกำแพงซีน่ะ”

24. หัวราน้ำ
ความหมาย เมาเต็มที่
ความเป็นมา สมัยก่อนไทยเรามีการคมนาคมทางน้ำเป็นสำคัญใช้เรือ เป็นพาหนะทั้งในธุรกิจติดต่อค้าขาย ตลอดจนการเล่นรื่นเริงต่าง ๆ ในการเล่น
ตัวอย่าง แข่งเรือ คนในเรือมักจะกินเหล้าเมามายกันเต็มที่แรงตัวไม่อยู่ หัวลงไปราอยู่กับพื้นน้ำ จึงเกิดเป็นสำนวนขึ้นมา

25. หัวหกข้นขวิด
ความหมาย ทำอะไรแผลง ๆ ทำอะไรโลดโผน ไม่ได้รักษากิริยามารยาท ทำตามใจชอบ
ตัวอย่าง
“เป็นการกินสำหรับเกียรติยศ จะหยิบฉวยอะไรแต่ละทีง้างมือไม่ค่อยถนัด สู้กินกันตามธรรมดาอย่างบ้านของตัวเองไม่ได้ หัวหกข้นขวิดก็ไม่ต้องเกรงใจใคร”
ละคอนไทยไปอเมริกา

26. โอษฐภัย
ความหมาย พูดไม่ดีจะเป็นภัยกับตัวเอง เป็นภัยที่เกิดจากปาก ส่วนใหญ่มุ่งไปถึงการพูดที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง การดูหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ การพูดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=568119&chapter=43#ixzz1AeDR1QlY